วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เรื่องสั้น มันคือมายาแห่งจิต



ผมไม่ได้หลงทางแต่ลึกๆในใจผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาที่นี่ เพราะว่าเดือนนี้ผมมาบ่อยมากแต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะไปไหน การมาที่นี่อาจช่วยทำให้จิตใจผมสงบลงบ้าง ผมคิดเช่นนั้น  หลายๆครั้งที่เราอยากหาที่บางแห่งเพื่อรอคอย  โดยเฉพาะคืนนี้ คืนที่ “มัน” กำลังจะมา ผมไม่รู้มันจะมาจริงไหม แต่รู้สึกได้ลึกๆว่ามันกำลังมา ถ้าถามว่าผมอยากเจอมันไหม ผมตอบไม่ได้ที่จริงแล้วผมอาจกำลังรอมันอยู่ก็ได้แต่ต้องแสร้งทำเป็นไม่อยากเจอมัน     
ผมเข้ามาแล้วพร้อมด้วยเครื่องดื่มในมือ ใช่แล้ว อะไรจะดีไปกว่าเบียร์แช่เย็น ผมเลือกนั่งในมุมด้านหนึ่งของร้าน ด้านขวาติดผนังอย่างน้อยผมก็รู้สึกปลอดภัยและไม่ประหม่านักในการนั่งคนเดียว ผมไม่ชอบถ้าผมต้องถูกล้อมด้วยผู้คนที่ไม่รู้จัก ฉะนั้นการที่ด้านหนึ่งเป็นเพียงผนังมันก็ทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้น ช่วงนี้คนยังไม่เยอะผมเลยมีเวลาที่จะเลือกที่นั่งได้พอสำควร นี่ถ้ามาช้ากว่านี่มีหวังไม่ได้ที่อุ่นใจแบบนี้แน่ ผมบอกตัวเอง แสงไฟวับแวบในความมืดบวกกับเสียงเพลงที่ดังเกินจะขับกล่อมให้ใครหลับนอนได้ เป็นสิ่งที่ผมพาตัวเองมานั่งรอ “มัน” นั้นคือเหตุผลของผม แต่สำหรับคนอื่นๆเขามากันด้วยเหตุผลใดผมคงตอบไม่ได้ บางคนมาเพื่อดื่ม บางคนมาเพื่อฟังเพลงที่อาจฟังไม่ค่อยรู้เรื่องนัก บางคนอาจมาเพราะหนีความกลัดกลุ้มหนีปัญหาที่พบเจอโดยหวังว่าที่นี่เขาจะทิ้งทุกอย่างไว้ให้มันหายไปกับค่ำคืน แต่เขาจะรู้ไหมว่ามันไม่จริงเลยเพราะเมื่อเขาก้าวออกไป เรื่องราวต่างๆก็ยังคงเดินติดตามเขาออกไปอยู่ดี  แล้วจะมีสักคนไหมที่มารอ “มัน” เหมือนผม จะมีใครไหม...ผมได้แต่คิด  
เวลาของผมหมุนหมดลงไปเรื่อยๆเหมือนเบียร์ในมือ บุหรี่ถูกจุดเป็นมวนที่สอง...ตอนนี้ผู้คนเริ่มหนาตาขึ้นหนึ่งในนั้นอาจเป็นคนที่ผมรู้จักบ้าง ซึ่งก็น่าจะมีอยู่ถ้าผมเพียงออกเดินตามหาแต่ถ้าผมไปผมคงเสียที่ให้กับคนอื่นแน่นอน อีกอย่างวันนี้ผมไม่อยากเจอใครนักเพราะผมไม่รู้ว่า “มัน” จะมาตอนไหน ด้านซ้ายมือผมโต๊ะว่างถูกแทนที่ด้วยหนุ่มสาวสองคู่ ทั้งสองคู่คงเพิ่งจะเริ่มคบหากัน หลังจากดินเนอมื้อเย็นจะมีอะไรเร้าอารมณ์ได้ดีไปกว่าเครื่องดื่มมึนเมาและเสียงเพลงในไฟสลัวเพื่อเพิ่มอารมณ์ให้แก่กัน จนอาจต้องไปสานความสัมพันธ์กันบนเตียงนุ่มๆต่อไป ก็หวังว่าทั้งหมดจะรู้จักที่จะป้องกันตัวเอง ผมอวยพรยู่ในใจจนแอบที่จะเผลอยิ้มกับตัวเองไม่ได้ ผมก็เคยทำมาก่อน....

วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555

Zone 30 บทที่1 โตขึ้นอยากเป็นอะไร..


Zone 30
Zone 30 คือ ช่วงเวลาที่อายุขึ้นสัมผัสกับเลข 3 คนในโซนนี้สำหรับคนอื่นผมไม่รู้ว่ารู้สึกกันยังไงแต่สำหรับตัวผมรู้สึกว่านี่เป็นโซนที่มีความหลากหลายและเป็นโซนที่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา คนในโซนนี้ยังมีความเป็นวัยรุ่นอยู่ในหัวใจและในขณะเดียวกันเราก็มีความเป็นผู้ใหญ่เพิ่มขึ้น เราเป็นโซนที่ยังเฮฮากับวัยรุ่นได้ในหลายๆเรื่องและเรายังสามารถเข้าถึงและพูดคุยในเรื่องหลักการกับผู้ใหญ่ได้ดีเช่นกันอีกด้วย พูดง่ายๆเราคือเส้นแบ่งระหว่างวัยรุ่นกับวัยผู้ใหญ่นั้นเอง เป็นโซน 30 ยังแจ๋วเหมือนเพลงของคุณ ยอดรัก สลักใจ ที่ได้ร้องไว้
จาก30ปีที่แล้วเด็กคนหนึ่งเติบโตผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านฝนเติบโตขึ้นมามีหลายเรื่องให้ได้ทำให้เรียนรู้ให้ตัดสินใจและมีหลายเหตุการณ์ได้พบเจอ และต่อไปนี้คือบทความที่อยากถ่ายทอดเรื่องราวมุมมองความคิดต่างๆในหลายๆเรื่องที่ผ่านมาของผมคนที่กำลังใช้ชีวิตอยู่ในเขตพื้นที่ที่เรียกว่า Zone 30

บทที่1 โตขึ้นอยากเป็นอะไร..
โตขึ้นอยากเป็นอะไร? ใครไม่เคยได้ยินคำถามนี้บาง ผมเชื่อว่าเราทุกคนเคยเจอคำถามนี้ หรือใครไม่เคยได้ยินบ้างไปอยู่ไหนมาครับนี่เป็นคำถามยอดฮิตกว่าไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกันอีก เป็นคำถามที่ผู้ใหญ่หรือครูอาจารย์หลายคนมักถามเราเมื่อเรายังเด็ก ซึ่งคำตอบของแต่ล่ะคนก็ช่างแตกต่างกันออกไป อยากเป็นตำรวจ ทหาร นางพยาบาล หมอ  สารพัดคำตอบที่เด็กอย่างเราจะคิดได้ในเวลานั้น เคยมีเพื่อนผมคนหนึ่งตอบว่าอยากเป็น มรรคทายก ที่มันตอบแบบนั้นเพราะมันเป็นเด็กวัดผมเดาว่ามันคงจะตอบเพราะสภาพแวด

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

เรื่องสั้นที่1... "ก็เราชอบไปแล้วนี่"


1.
Taylor Swift  นั้นคือคำอุทานในใจแรกที่ผมเห็นหน้าเธอ
หญิงสาวที่นั่งโต๊ะห่างจากโต๊ะที่ผมกำลังหย่อนตัวลงทำให้ผมนึกถึงนักร้อง นักแต่งเพลงสาวชาวอเมริกันคนดัง จะผิดกันก็ตรงที่หญิงสาวตรงหน้าไม่ใช่สาวชาวอเมริกันแต่เป็นสาวผมดำชาวไทยอายุประมาณ 26 -27 ที่มีใบหน้าระหงเรียว ผมดำหยักเป็นลอน คิ้วที่โก่งได้รูปรับกับดวงตากลมโตที่ดูสดใสและน่าค้นหา.. มันทำให้ผมนึกถึงนักร้องสาวที่ตนเองชื่นชอบขึ้นมา
ก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันทำไมผมถึงชอบ Taylor Swift   แต่ผมเชื่อว่ามันคงไม่ใช่ผมคนเดียวแน่ชายไทยอีกหลายคนก็ชอบเธอและแอบที่จะฝันบ่อยๆว่าอยากมีแฟนที่หน้าตาแบบเธอ ผมว่าคนเราทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิงทุกคนต้องก็มีคนในฝันของคนที่ตัวเองชอบ แต่ในชีวิตจริงจะมีสักกี่คนที่สามารถจะมีคู่ชีวิตได้ในแบบที่ตัวเองวาดไว้ บางคนพยายามตามหาคนในฝันมาตลอดชีวิต บางคนเลือกที่จะให้มันเป็นแค่ความฝันแล้วเลือกที่จะอยู่กับความจริง หลายๆคนเจอคนในฝันเมื่อ “สาย” ไปแล้ว...

2.
เธอเงยหน้ามองมาเมื่อผมนั่งลง ถ้าผมไม่เข้าข้างตัวเองมากไป ผมว่าผมเห็นรอยยิ้มน้อยๆจากเธอ
แล้วมันจะผิดมากหรือถ้าคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนจะยิ้มให้กัน ผมว่าการยิ้มมันเป็นกริยาที่แสนลึกลับ มันสามารถสร้างและนำมาซึ่งคำว่า มิตรภาพ แต่แปลกที่ปัจจุบันเราจะพบกริยานี้ได้น้อยลง ทั้งที่เมืองไทยเราได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งการยิ้ม จนฝรั่งหัวทองขนานนามเราว่า สยามเมืองยิ้ม การยิ้มให้แก่กันของคนแปลกหน้ากลายเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยพบเจออาจเกิดด้วยว่าเรากลัวว่าเมื่อยิ้มให้กับคนแปลกหน้าแล้วเราจะไม่ได้ยิ้มตอบ นั้นเพราะเดี๋ยวนี้คนเราคาดหวังว่าเราต้องได้อะไรตอบแทนเมื่อเราทำสิ่งใดลงไป แต่ถ้าเราสามารถทำสิ่งใดโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนเราคงไม่กลัว ถ้าเรายิ้มให้ใครสักคนแล้วเขาไม่ยิ้มตอบเรา
ผมยิ้มตอบเธอ เรายิ้มให้กัน คนแปลกหน้าต่างเพศสองคนยิ้มให้กัน ผมว่าต้น “มิตรภาพ” ได้ถูกปลูกขึ้นแล้ว
ณ ร้านกาแฟนี้


3.
ครืน ครืน  เสียงฟ้าร้อง ข้างนอกฝนเริ่มตกลงเม็ดมา
Taylor Swift   เมืองไทยของผมมองออกไปนอกร้านที่สายฝนเริ่มสาดกระทบกระจกร้าน ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไรกับฤดูฝนเช่นนี้ เธอทำให้ผมมองออกไปเช่นกัน โต๊ะของผมผมกับโต๊ะของเธอนั้นอยู่ติดกระจกร้าน ทำให้เราสามารถมองออกไปด้านนอกแวบแรกที่ผมเห็นคือความวุ่นวายของผู้คนที่เริ่มโกลาหลเมื่อสายฝนหล่นลงมา บางคนถือร่มก็ได้ใช้ บางคนใช้กระเป๋ายกขึ้นมาบังเม็ดฝนพลางวิ่งหาที่หลบ  สมัยเรียนผมยังจำคำอาจารย์ท่านหนึ่งพูดไว้ “เราอยู่ใต้ฟ้า อย่าไปกลัวอะไรกับฝน” มันก็จริงนะ ทำไมเราต้องกลัวฝน จริงๆแล้วผมอยากบอกอาจารย์เหลือเกินว่าเราไม่ได้กลัวฝนแต่เรากลัว”เปียก”ตะหากครับ...

วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2555

อยากมีบ้าง "วันปิดเทอม"

"ปิดเทอมแล้ว" นี่คือของของขวัญชิ้นโบว์แดงที่มีค่า ของเหล่านักน้อยเด็กโตทั้งหลายที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับสถานศึกษา เป็นช่วงเวลาที่เป็นการพักผ่อนสมองจากการร่ำเรียน พักผ่อนจากตำรับตำราต่างๆ
ถ้าพูดถึงการปิดเทอมหัวใจว้าวุ่นแบบนี้ อาจมีข้อแตกต่างกันระหว่างเด็กในเมืองกับเด็ก ตจว. อย่างแถวบ้านผมไปบ้าง
เด็กในเมืองบางทีการปิดเทอมจากสถานศึกษาปกติ อาจหมายถึงการเปิดเทอมในโรงเรียนกวดวิชาต่างๆ
แต่การปิดเทอมของเด็กต่างจังหวัด อาจเป็นการเปิดเทอมที่แสนสนุกกับการอยู่บ้าน ท้องไร่ท้องนา เลี้ยงหมา เลี้ยงปลา ปลูกผักหญ้า ไปตามแต่ล่ะวิถีชีวิตจะดำเนินไป

ผมพอจะจดจำความหรรษาของการปิดเทอมได้บ้างคร่าวๆ เนื่องจากตนเองก็พ้นวัยเล่าเรียนมาพอสมควรแล้ว  จำได้ว่าสมัยเด็กๆพอใกล้ถึงวันปิดเทอมจิตใจมักไม่ค่อยอยู่กับตัวอยากให้ถึงวันสุดท้ายของการเรียนเร็วๆ
ไม่ใช่ไม่อยากไปโรงเรียน แต่เพื่อที่จะได้นอนตื่นสายๆอยู่บ้าน ไม่ต้องรีบตื่นมาก่อนฟ้าสางแล้วรีบไปโรงเรียน
ไม่ต้องไปเจอคุณครูที่ชอบหยิกพุงเวลาเราทำผิด และได้ใช้ชีวิตที่อิสระไม่ต้องอยู่ในการควบคุมของเวลา

เนื่องจากสมัยเมื่อสัก 20 กว่าปีก่อนตามต่างจังหวัดอย่างบ้านผม กิจกรรมที่มากับการปิดเทอมใหญ่นี้ช่างมีมากมายและเป็นที่สนุกสนานของเด็กในวัยนั้นมาก  ได้วิ่งตามพ่อแม่ไปตามท้องทุ่งนาเพื่อช่วยเก็บเกี่ยวข้าว ซึ่งจริงๆแล้วน่าจะไปเป็นภาระท่านมากกว่า ได้ออกไปเป็นนายพรานตัวน้อยๆคอยยิงนก ตกปลา ได้ทั้งวันโดยไม่ต้องแอบโดดเรียนออกไปและโดนครูหยิกพุงผอมๆเลย  ได้มีเวลาที่จะชวนเพื่อนในวัยเดียวกันมาโหนกิ่งไม้โดดน้ำในคลองใสๆหน้าบ้าน

วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555

ว่าด้วยเรื่องบอลไทย


"บอลไทยจะไปมวยโลก" ผมคนหนึ่งเกลียดคำนี้มาก ในฐานะคนที่ชอบกีฬาฟุตบอล และในฐานะคนไทยซึ่งมีสัญชาติ และเชื้อชาติ เป็น "ไทย" แท้....ไม่อยากให้คนไทยด้วยกันดูถูกวงการกีฬาไทยแบบนี้ครับ
โอเค มันอาจจะจริงที่วงการฟุตบอลไทยบางครั้งจะมีเหตุการณ์ นักเตะกลายเป็นนักมวยสาวหมัดใส่กัน หรือนักเตะรุมสะหะบาทากรรมการ!!!! 

แต่ ณ ปัจจุบันถ้าเราสังเกตุกันให้ดีจะทำให้เรามองเห็นการพัฒนาของวงการฟุตบอลไทย เป็นไปในทางที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน เรามีลีคการแข่งขันที่เป็นรูปเป็นร่างมากกว่าเดิม เรามีสโมสรที่ชั้นนำหลายๆสโมสร บุรีรัมย์ ชลบุรี เมืองทอง และอีกหลายสโมสรที่ดูมีมาตราฐาน มีกลุ่มแฟนคลับมีการพัฒนาของนักเตะ รวมไปถึงความเป็นสากล เช่น การมีนักเตะต่างชาติเดินทางมาค้าแข้งในประเทศเรามากขึ้น  

แต่ (ทำไมต้องมี แต่).......

แต่ในขณะที่วงการฟุตบอลไทยกำลังเจริญก้าวหน้าขึ้น การบริหารงานของสมาคมฟุตบอลแห่งสยามประเทศกับทำผลงานถอยหลังลงคลอง หลักฐานที่เด่นชัดคือการตกลงจากการจักอันดับโลกล่าสุดเราอยู่ที่ 139 จากเดิม 120........(แต่เพ่อนบ้านเราอย่างเวียดนามกลับอยู่ที่ 100)  อะไรล่ะคือสาเหตุที่ทำให้การบริหารสมาคมฟุตบอลไทยรั่วได้ขนาดนี้

สาเหตุหลักอาจมาจากการบริหารงานที่ผิดพลาดของนายกสมาคมคนปัจจุบัน ที่ท่านทำงานบริหารแบบเช้าชามเย็นสองชาม ไม่ได้ใส่ใจการกีฬาเท่าที่ควร แต่ใส่ใจในผลประโยชน์ที่มีอยู่กับสมาคมมากกว่า การบริหารงานแบบเอื้อผลประโยชน์ให้พวกพ้อง ประเภทคนของใครของมัน ตลอดเวลาที่ท่านนี้ได้นั่งตำแหน่งนายกสมาคมมาตลอด 3 สมัย (ทำงานแบบนี้ยังมีคนเลือกอีก) ยังมิเคยปรากฏผลงานที่ดูดีและเป็นชิ้นเป็นอันให้เข้าตาแก่สมาคมเลย.....มีแต่ถ้อยคำหวานหู "เราจะพาบอลไทยไปบอลโลก" พูดมาเมื่อตั้งแต่สมัยแรกจนนี่ปาเข้าไป 3 สมัยแล้ว บอลไทยยังไม่เคยเฉียดเข้าใกล้คำว่า "บอลโลก" เลย  เอาง่ายๆอย่าเพิ่งหวังว่าจะเข้ารอบ 32 ทีมเลย ขอแค่ผ่านรอบคัดเลือกในโซนเอเชียนี่ก็สวยงามแล้ว